วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2562

เหมือนกันหมด


           
                   เหมือนกันหมดทุกกอย่าง  แตกต่างที่หัวใจ ว่าใครจะทนจะดีจะเลวเท่านั้นเองแหละครับ

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ความรู้มาจากไหน


              ความรู้มาจากไหนเหรอครับ  ความรู้เกิดจากการได้ ฟัง พูด เขียน อ่าน คิด

    การฟังจากครูบาอาจารย์ ท่านผู้รู้ ผู้เรียนมาก่อนเรา จะทำให้เรามีความรู้เกิดขึ้น การฟังต้องฟังจากหลายๆคน หลายๆกลุ่ม...

    การพูดคุยกันในหัวข้อต่างๆ ก็จะมีองค์ความรู้ใหม่ๆขึ้นมา
    การเขียนบ่อยๆตัวทำให้มีการพัฒนาองค์ความรู้ใหม่ๆ
    การอ่านอ่านทุกอย่างถูกๆผิดๆก็อ่านๆช้ำๆไปช้ำมาจนเกิดความว่องไวในการอ่าน อ่านถูกจังหวะ ถูกตอนมันก็มีความรู้ใหม่ๆเกิดขึ้นมา
    การคิด คิดอย่างมีระบบ ไม่ใช่คิดมาก มีขั้นตอนในการคิด














ความเป็นมาของความรู้
               การจัดการความรู้ (อังกฤษ: Knowledge management - KM) คือ การรวบรวม สร้าง จัดระเบียบ แลกเปลี่ยน และประยุกต์ใช้ความรู้ในองค์กร โดยพัฒนาระบบจาก ข้อมูล ไปสู่ สารสนเทศ เพื่อให้เกิด ความรู้ และ ปัญญา ในที่สุดการจัดการความรู้ประกอบไปด้วยชุดของการปฏิบัติงานที่ถูกใช้โดยองค์กรต่างๆ เพื่อที่จะระบุ สร้าง แสดงและกระจายความรู้ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้และการเรียนรู้ภายในองค์กร อันนำไปสู่การจัดการสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับการดำเนินการธุรกิจที่ดี องค์กรขนาดใหญ่โดยส่วนมากจะมีการจัดสรรทรัพยากรสำหรับการจัดการองค์ความรู้ โดยมักจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนกเทคโนโลยีสารสนเทศหรือแผนกการจัดการทรัพยากรมนุษย์รูปแบบการจัดการองค์ความรู้โดยปกติจะถูกจัดให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ขององค์กรและประสงค์ที่จะได้ผลลัพธ์เฉพาะด้าน เช่น เพื่อแบ่งปันภูมิปัญญา,เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน, เพื่อความได้เปรียบทางการแข่งขัน, หรือเพื่อเพิ่มระดับนวัตกรรมให้สูงขึ้น

















วันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

สิ่งที่เราคิดไม่ถึง --++---












     




                                                ดูภาพบอกอะไรๆได้หลายอย่างครับ............                                                                                                                                                                                                                                     

อย่าทำ อย่าคิด



         สวัดดีครับ...ท่านผู้อ่านทุกท่าน  บาป คือ ความไม่สบายอกไม่สบายใจ บุญ คือ ความสบายอกสบายใจ อิ่มใจ ทำไปแล้วไม่เดือดร้อนใครคนไหน บุญนั้น มองไม่เห็นแต่เราสัมผัสได้ด้วยใจที่บริสุทธิ์ เหมือนสายลมเย็น ๆ เวลาที่เราร้อนมากๆ จะสบายเมื่อได้รับลมครับ 3 อย่างที่เราไม่ควรทำเลย อย่า...คิดมาก  ปกติแล้วผมเป็นคนคิดมากนะ แต่ได้ฟังแล้วก็สบายใจ 2. อย่าคิดไกล แค่คิดถึงปัจจุบันก็ดีแล้ว 3.อย่า..คิดไปเองฝ่ายเดี่ยว เดี๋ยวเขาหาว่า บ้าอีกยิ่งเหมือนอยู่ ฮ่าๆๆๆ
ทุกคนต้องยารักษาใจ ไม่ให้มันเพียนไปก็คือ ธรรมะ ๆ หาได้ที่วัดเพราะวัดเป็นที่สงบ และร่มเย็น สบาย ทั้งกายและใจ พระพุทธเจ้าพระองค์มีอะไรเกี่ยวกับป่าตั้้งแต่เล็กจนถึงปรินิพพาน เกิดกลางป่า ตรัสรู้ก็อยู่ป่า นิพพาน ก็ป่าเหมือนกัน เพราะฉะนั้น ในป่ามีหลักธรรมเยอะแยะมากมายที่เราต้องศึกษา  อยู่คนเดี่ยว ระวังความคิด  อยู่กับมิตรระวังวาจา

****************************************************************


วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

อิสระ


       
        ผ่านมาแล้วให้มันผ่านไป ค่อยๆลืมสิ่งที่ทำให้เรา เจ็บช้ำน้ำใจตลอด จะรักทำไมในเมื่อรักแล้วไม่ความสุข  คนนะคนคนหลายใจ แล้วจะมีคำถามขึ้นมาในใจเราว่า ทำไมเราไม่ดีตรงไหน แค่นี้ไม่พอ ก็เชิญไปแสวงหาสิ่งที่เธอต้องการ ผมขอเป็นอิสระสบายทั้งกาย ทั้งใจ ที่เขาเรียกว่า โสด แหละดีๆมากเลย จะเก็บความทรงจำอันเลวร้ายมาเป็นบทเรียนที่มีค่า น้ำตาจะสอนอะไรๆหลายๆอย่างให้เรา การใช้ชีวิตก็จะเป็นไปอย่างอิสระ แต่อยู่ในกรอบของความดี คำว่าไม่ใช่ มันคงเป็นคำว่าไม่ใช่อยู่ดี ถ้าจะให้ดี ก็ทำใจดีใจดีกว่า แค่โสดน่า สบายจะตาย เขาหมดใจเราต้องอยู่ต่อไป....




เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์โดยรายการ
“The Exit ชีวิตมีทางออก”
วันที่ ๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๔


พิธีกร : พูดถึงเรื่องของความรัก เป็นนิยามที่คนยังสงสัยมาตลอดทุกยุคทุกสมัย ตลอดเวลา คำถามฮิต ความรักคืออะไร ทำไมเราต้องตื่นเต้นเวลาที่เราตกหลุมรัก บางคนก็บอกว่าเป็นปฏิกิริยาเคมีทางสมอง หรือว่าอาจจะเคยเป็นสามีภรรยากันเมื่อชาติอื่นๆ หรืออย่างไรก็แล้วแต่ ความจริงแล้วเราจะให้นิยามความรักคืออะไร ?

พระไพศาล :
พุทธศาสนามองว่า ความรักมีสองประเภท

ประเภทหนึ่ง
เป็นความรักที่มีความยึดติดถือมั่น เป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพื่อตอบสนองตัวตน หรือหวังความสุขเพื่อปรนเปรอตัวตน
เราเรียกว่า สิเนหะ หรือเสน่หา เป็นความรักที่ภาษาสมัยใหม่เรียกว่ารักแบบมีเงื่อนไข เช่น ต้องถูกใจฉัน ต้องพะเน้าพะนอฉัน



ความรักอีกประเภทหนึ่ง เป็นความรักที่เป็นความปรารถนาดี
ไม่มุ่งหรือคาดหวังให้เขามาปรนเปรอตัวตน เป็นความปรารถนาดีโดยปราศจากความเห็นแก่ตัว อันนี้เรียกว่า เมตตา

-------------------------------------------------------------------
มีความแตกต่างระหว่าง "เมตตา" กับ "สิเนหะ"

พุทธศาสนามองว่า สิเนหะเป็นสาเหตุแห่งความทุกข์

เพราะว่าถ้าคาดหวังให้เป็นไปตามใจตัวแล้ว เมื่อไม่เป็นอย่างที่หวังก็ทุกข์ เกิดความพลัดพรากสูญเสียไปก็ทุกข์


แต่เมตตานั้น เนื่องจากไม่มีความยึดติดถือมั่นเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ ดังนั้นเขาจะทำอย่างไรกับเรา เราก็ไม่ทุกข์ เพราะว่ามีแต่ความปรารถนาดีอย่างเดียว

ไม่มีเงื่อนไขว่าเขาต้องทำดีกับฉัน เขาต้องเทิดทูนบูชาฉัน หรือว่าเขาต้องเป็นลูกของฉัน เป็นสามีของฉัน เป็นคนรักของฉัน



พระพุทธเจ้าตรัสว่า พระองค์มีความเมตตาต่อพระเทวทัตเท่ากับพระราหุล

เมตตาคือความรักโดยไม่แบ่งแยก คนส่วนใหญ่มองว่าถ้าเป็นลูกฉันก็รัก ถ้าเป็นศัตรูฉันไม่รัก อันนี้เป็นสิเนหะ แต่เมตตาไม่มีเลือก ไม่มีแบ่งแยก เป็นความรักที่ไม่มีประมาณ ไม่มีเงื่อนไข ขณะเดียวกันเมื่อเกิดอะไรขึ้นกับเขา เราก็ไม่ทุกข์เพราะไม่ได้ยึดติดถือมั่นว่าเป็นเราเป็นของเรา หรือต้องอยู่กับเราชั่วนิจนิรันดร์


-------------------------------------------------------------------


พิธีกร :

แล้วอย่างที่ว่า เวลาเรารักใครเราก็อยากอยู่ใกล้คนนั้น มีความคิดถึง มีอะไรพวกนี้ อันนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของความรักใช่ไหมคะ ?


พระไพศาล :

อันนั้นเป็นสิเนหะ

ในทางพุทธมีอีกคำหนึ่งคือคำว่า ราคะ ราคะคือความปรารถนาที่จะครอบครอง เพราะว่ามันให้ความสุขแก่เรา เป็นความสุขทางผัสสะ ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อาจจะรวมถึงความอิ่มเอมใจด้วย


ราคะใช้ได้กับทุกอย่างนะ แม้กระทั่งกับสิ่งของ เราอยากครอบครอง อยากอยู่ใกล้ทรัพย์สมบัติ เราก็เอาทรัพย์สมบัติ เอาเพชรนิลจินดามาดูทุกวัน แล้วก็มีความสุข อยากเอามาประดับติดตัว อยากอยู่ใกล้ ไม่อยากให้อยู่ไกล อันนี้เป็นราคะ


พิธีกร :

ไม่ใช่ความรัก ?


พระไพศาล :

เป็นความรัก แต่เป็นความรักที่เจือด้วยกิเลส ที่ยังผูกติดกับเรื่องตัวตนอยู่

ที่จริงแล้วเราไม่ได้รักสิ่งนั้นอย่างจริงจังหรอก เรารักตัวเรา แต่เนื่องจากสิ่งนั้นให้ความสุขเรา ปรนเปรอเรา พะเน้าพะนออัตตาตัวตนของเรา เราก็เลยผูกใจปรารถนาสิ่งนั้น แต่ถ้าเมื่อใดก็ตามที่สิ่งนั้นไม่เป็นไปดั่งใจหวัง ไม่พะเน้าพะนอเรา ไม่ปรนเปรออัตตาเรา เราก็เกลียด



อย่างคู่รักที่เคยรักกันอย่างดูดดื่มแต่พอพบว่าเขาคิดไม่เหมือนเรา เขาไม่ให้เกียรติเรา ไม่จริงใจกับเรา ความรักที่มีก็เปลี่ยนเป็นความเกลียด ยิ่งพบว่าเขาปันใจให้คนอื่น เราก็ยิ่งเกลียดเขามากขึ้น รักก็กลายเป็นเกลียดไป ความรักแบบนี้คือรักตัวเอง ไม่ได้รักเขาอย่างแท้จริง


แต่จะว่าไปแล้ว เอาเข้าจริงๆ เรารักตัวเองหรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลย เพราะว่าถ้าเรารักตัวเอง เราก็อยากอยู่กับตัวเอง แต่คนส่วนใหญ่เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียวไม่มีความสุข กระวนกระวาย อยู่คนเดียวในห้อง



แม้ว่าจะอยู่ในโรงแรมห้าดาว แต่ถ้าไม่มีโทรศัพท์ ไม่มีโทรทัศน์ ไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีเฟสบุ๊ค ก็กระสับกระส่าย ทำไมล่ะ ในเมื่อรักตัวเองก็น่าจะมีความสุขเมื่ออยู่กับตัวเอง แต่ว่าคนส่วนใหญ่ ไม่มีความสุขที่จะอยู่กับตัวเอง ที่ทำมาทั้งหมดก็คือพยายามหนีตัวเอง เพราะทนอยู่กับตัวเองไม่ได้


เมื่อเรารักตัวเองไม่เป็น หรือรักตัวเองไม่ได้ เราจะไปรักใครได้อย่างแท้จริง แต่ทุกวันนี้ทุกคนที่อ้างว่ารักคนโน้นรักคนนี้ ที่จริงไม่ได้รักเขาหรอก แม้แต่ตัวเองก็ไม่ได้รัก
-------------------------------------------------------------------




พิธีกร :

ถามสำหรับน้องๆ หรือคนรุ่นใหม่ที่จะเลือกคู่ เขาจะมีวิธีที่จะเลือกคู่อย่างไรได้บ้าง ?


พระไพศาล :

การที่คนเราจะอยู่ด้วยกันได้นาน จะต้องมีความเหมือน มีความสอดคล้องกัน เช่น สอดคล้องกันในเรื่องของศีล

ศีลในที่นี้หมายถึงความประพฤติปฏิบัติ หากว่าเป็นคนที่มีความประพฤติปฏิบัติไปในแนวทางเดียวกัน เช่น เป็นคนที่ชอบทำบุญ ไม่ต้องการเบียดเบียน ใฝ่ในธรรมะ อันนี้ก็จะอยู่กันได้นาน



พูดง่าย ๆ คือมีการดำเนินชีวิตไปในแนวทางเดียวกัน แต่ถ้าสวนทางกันหรือไม่เหมือนกัน ก็อยู่ด้วยกันได้ยาก เช่น คนหนึ่งอยากรวย แต่อีกคนใฝ่ธรรม คนหนึ่งโลภเพราะคิดว่ามีเงินจึงจะมีความสุข แต่อีกคนเห็นว่าการสละการปล่อยวางมีความสุขกว่า อย่างนี้ก็อยู่กันลำบาก อยู่ด้วยกันไม่ยืด

นอกจากศีลแล้ว ประการต่อมาก็คือ การแบ่งปัน หรือ จาคะ คือ ต้องมีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เหมือนกัน ถ้าหากบางคนตระหนี่ก็จะอยู่กับคนที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นต้องมีความเหมือนกันในแง่นี้ด้วย


ศรัทธาและปัญญาก็เช่นกัน มีศรัทธาคล้าย ๆ กัน มีปัญญาเสมอกัน ก็อยู่กันได้นาน



ธรรมทั้ง ๔ ประการเรียกว่า สมชีวิธรรม คือ ธรรมที่ทำให้คู่สมรสมีชีวิตที่กลมกลืนกัน ครองคู่กันได้นาน เรื่องนี้สำคัญมากคือการมีสาระของชีวิตสอดคล้องไปในทางเดียวกัน แต่ว่าถ้าต่างกันหรือสวนทางกัน จะอยู่ด้วยกันลำบาก



สรุปก็คือ
สิ่งที่จะทำให้อยู่ด้วยกันได้ดีที่สุด คือ ธรรมะ
หากมีธรรมะเหมือนกัน
ก็จะยึดเหนี่ยวประสานน้ำใจ
ให้เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น

-------------------------------------------------------------------

พิธีกร :
คือว่าวิธีการเลือกคู่แท้ของคนรุ่นใหม่ก็ต้องตรวจสอบดูว่า ข้อที่หนึ่งมีศีลเสมอกันหรือเปล่า ข้อสองมีศรัทธาเสมอกันหรือเปล่า ข้อที่สามมีจาคะ มีความยอมสละกันได้ไหม เราอยากทำบุญ แฟนเราอยากไปเดินห้างก็ต้องดู ข้อสุดท้ายก็เป็นเรื่องของปัญญาที่ต้องเสมอกันด้วย ถ้าตรวจสอบดูแล้วว่าตรงกันก็คือเลือกได้เลย มาถูกคนแล้ว



วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป


                              สวัสดีครับ++ใกล้ถึงวันสำศัญอีกวันหนึ่ง ของเราชาวพุทธที่ควรรู้ประวัติความเป็นมา
ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7  ตรงกับที่พระพุทธเจ้าประสูติ(เกิด) ตรัสรู้  และปรินิพพาน  (มรณะ) วันวิสาขบูชาปีนี้ ตรงกับวันเสาร์ที่18 พฤษภาคมนี้
                สังเวชนียสถาน หมายถึง สถานที่ที่ทำให้เกิดความรู้สึกระลึกถึงพระพุทธเจ้า เกิดความแช่มชื่น เบิกบาน เกิดแรงบันดาลใจที่จะทำความดี เมื่อได้ไปพบเห็น
สังเวชนียสถาน มี 4 แห่ง คือ

1.สถานที่ประสูติ
2.สถานที่ตรัสรู้
3.สถานที่แสดงปฐมเทศนา
4.สถานที่ปรินิพพาน

         จุดแสวงบุญและสภาพของลุมพินีวันในปัจจุบัน
อู ถั่น อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ ผู้ดำริให้ชาวพุทธทั่วโลกร่วมกันบูรณะลุมพินีวันให้เป็นพุทธอุทยานประวัติศาสตร์ของโลก
ปัจจุบัน ลุมพินีวันได้รับการบูรณะและมีถาวรวัตถุสำคัญที่ชาวพุทธนิยมไปสักการะ คือ "เสาหินพระเจ้าอโศกมหาราช" ที่ระบุว่าสถานที่นี้เป็นสถานที่ประสูติของเจ้าชายสิทธัตถะ นอกจากนี้ ยังมี "วิหารมายาเทวี" ภายในประดิษฐานภาพหินแกะสลักพระรูปพระนางสิริมหามายาประสูติพระราชโอรส โดยเป็นวิหารเก่ามีอายุร่วมสมัยกับเสาหินพระเจ้าอโศก ปัจจุบัน ทางการเนปาลได้สร้างวิหารใหม่ทับวิหารมายาเทวีหลังเก่า และได้ขุดค้นพบศิลาจารึกรูปคล้ายรอยเท้า สันนิษฐานว่าเป็นจารึกรอยเท้าก้าวที่เจ็ดของเจ้าชายสิทธัตถะที่ทรงดำเนินได้เจ็ดก้าวในวันประสูติ

ลุมพินีวันได้รับการพัฒนาจากชาวพุทธทั่วโลก โดยเฉพาะจากโครงการฟื้นฟูพุทธสถานลุมพินีวันให้เป็น "พุทธอุทยานทางประวัติศาสตร์ของโลก" ซึ่งเป็นดำริของ ฯพณฯ อู ถั่น ชาวพุทธพม่า ในสมัยที่ท่านดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ท่านตั้งใจเริ่มโครงการฟื้นฟูให้ลุมพินีวันเป็นศูนย์รวมจิตใจชาวพุทธบนพื้นที่สี่เหลี่ยมผืนผ้ากว่า 6,000 ไร่ (ขนานตามแนวเหนือใต้) แบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนสำหรับปลูกป่าและสร้างวัดพุทธนานาชาติจากทั่วโลกกว่า 41 ประเทศ โดยโบราณสถานลุมพินีวันตั้งอยู่ทางด้านใต้ ปัจจุบัน มีวัดไทยและวัดพุทธทั่วโลกไปสร้างอยู่จำนวนมากและมีขนาดใหญ่โต เพื่อรองรับพุทธศาสนิกชนที่มาสักการะแสวงบุญ



พุทธคยา ( สถานที่ตรัสรู้ )





              พุทธคยา คือคำเรียกกลุ่มพุทธสถานสำคัญใน อำเภอคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย ซึ่งเป็นพุทธสถานที่มีความสำคัญที่สุด 1 ใน 4 แห่ง ของชาวพุทธ เนื่องจากเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธสังเวชนียสถานที่มีความสำคัญที่สุดของชาวพุทธทั่วโลก ปัจจุบันบริเวณพุทธศาสนสถานอันเป็นที่ตั้งของสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วัดมหาโพธิ อยู่ในความดูแลของคณะกรรมการร่วม พุทธ-ฮินดู

พุทธคยา ปัจจุบันตั้งอยู่ด้านตะวันตกของแม่น้ำเนรัญชรา ไกลจากฝั่งแม่น้ำประมาณ 350 เมตร (นับจากพระแท่นวัชรอาสน์) พุทธคยามีสัญลักษณ์ที่สำคัญคือองค์เจดีย์สี่เหลี่ยมที่สูงใหญ่ โดยสูงถึง 51 เมตร ฐานวัดโดยรอบได้ 121.29 เมตร ล้อมรอบด้วยโบราณวัตถุ โบราณสถานสำคัญ เช่น ต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระแท่นวัชรอาสน์ ที่ประทับตรัสรู้ และอนิมิสสเจดีย์ เป็นต้น ซึ่งนอกจากพุทธสถานโบราณแล้ว บริเวณโดยรอบพุทธคยายังเป็นที่ตั้งของวัดพุทธนานาชาติ รวมทั้งวัดไทยคือ วัดไทยพุทธคยา

สำหรับชาวพุทธ พุทธคยา นับเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางที่สำคัญที่สุดของนักแสวงบุญชาวพุทธทั่วโลกที่ต้องการมาสักการะสังเวชนียสถานสำคัญ 1 ใน 4 แห่งของพระพุทธศาสนา โดยในปี พ.ศ. 2545 วัดมหาโพธิ (พุทธคยา) สถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม ขององค์การยูเนสโก



สถานที่ปรินิพพานกุสินาราพุทธสังเวชนียสถานแห่งที่ ๔ ปัจจุบันตั้งอยู่ที่ตำบลมถากัวร์ อำเภอกุสินคร จังหวัดเดวเย หรือเทวริยา รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ในครั้งสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราเป็นเมืองเอก ๑ ใน ๒ ของแคว้นมัลละ อยู่ตรงข้ามฝั่งแม่น้ำคู่กับเมืองปาวา เป็นสถานที่ตั้งของ “สาลวโนทยาน” หรือสวนป่าไม้สาละของมัลลกษัตริย์ ที่พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพาน และ “มกุฏพันธนเจดีย์” สถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า กุสินารา มีชื่อเรียกในท้องถิ่นว่า มาถากุนวะระกาโกฏ ซึ่งแปลว่า ตำบลเจ้าชายสิ้นชีพ ในสมัยพุทธกาล เมืองกุสินาราเป็นที่ตั้งของสาลวโนทยาน อยู่ในแคว้นมัลละ ๑ ใน ๑๖ แคว้นซึ่งเป็นเขตการปกครองสมัยพุทธกาล โดยในสมัยนั้นแคว้นมัลละแยกเป็นสองส่วน คือ ฝ่ายเหนือ มีเมืองกุสินาราเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า “โกสินารกา” และฝ่ายใต้ มีเมืองปาวาเป็นเมืองหลวง เจ้าปกครองเรียกว่า “ปาเวยยมัลลกะ” ทั้งสองเมืองนั้นตั้งอยู่ห่างกันเพียง ๑๒ กิโลเมตร โดยมีแม่น้ำหิรัญญวดีคั่นตรงกลาง กุสินารานั้นเมื่อเปรียบเทียบกับแคว้นอื่นๆ ในสมัยพุทธกาลจัดว่าเป็นแคว้นเล็ก ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนักในด้านเศรษฐกิจสถานที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระพุทธองค์อยู่ในพระราชอุทยานของเจ้ามัลละฝ่ายเหนือแห่งกุสินารา ภายในสาลวโนทยาน ซึ่งแปลว่า สวนป่าไม้สาละ ป่าแห่งนี้ตั้งอยู่ใกล้ฝั่งแม่น้ำหิรัญญวดี เป็นป่าไม้สาละร่มรื่น หลังการปรินิพพานของพระพุทธองค์แล้ว เหล่ามัลลกษัตริย์ก็ได้ประดิษฐานพระพุทธสรีระไว้ ณ เมืองกุสินารา เป็นเวลากว่า ๗ วัน ก่อนที่จะประกอบพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ มกุฏพันธนเจดีย์การที่พระพุทธองค์ทรงเลือกเมืองกุสินาราอันเป็นเมืองเล็กแห่งนี้เป็นสถานที่ปรินิพพาน มีหลายสาเหตุ แต่สาเหตุสำคัญคือทรงทราบดีว่าเมื่อพระองค์ปรินิพพานไปแล้ว พระพุทธสรีระและพระบรมสารีริกธาตุของพระองค์จักถูกแว่นแคว้นต่างๆ แย่งชิงไปทำการบูชา หากพระองค์ปรินิพพานในเมืองใหญ่ เมืองใหญ่เหล่านั้นอาจไม่แบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้เมืองเล็กๆ เช่น เมืองกุสินารา เป็นต้น ซึ่งก็เป็นความจริงเพราะหลังพระพุทธองค์ปรินิพพาน เจ้าผู้ครองแคว้นต่างๆ ก็ได้ยกกองทัพหลวงของตนมาล้อมเมืองกุสินาราเพื่อจะแย่งชิงพระบรมสารีริกธาตุ แต่ด้วยความที่กุสินาราเป็นเมืองเล็ก จึงต้องยอมระงับศึกโดยแบ่งพระบรมสารีริกธาตุให้ทุกเมืองโดยไม่ต้องเกิดสงคราม กุสินาราหลังพุทธปรินิพพาน หลังพระพุทธองค์ปรินิพพานแล้ว เมืองกุสินารากลายเป็นเมืองสำคัญศูนย์กลางแห่งการบูชาสักการะของพุทธศาสนิกชน เหล่ามัลลกษัตริย์ได้สร้างเจดีย์และวิหารเป็นจำนวนมากไว้รอบๆ สถูปใหญ่ คือ มหาปรินิพพานสถูป อันเป็นสถานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า มหาปรินิพพานสถูปแห่งนี้ได้กลายเป็นศูนย์กลางของปูชนียสถานอื่นๆ ที่สร้างขึ้นมาภายหลังในบริเวณนั้นต่อมาเมื่อแคว้นมัลละได้ตกอยู่ในความอารักขาของแคว้นมคธ พระเจ้าอโศกมหาราชได้เสด็จมาจาริกแสวงบุญยังกุสินารา เมื่อประมาณปี พ.ศ. ๓๑๐ ทรงบริจาคพระราชทรัพย์เป็นจำนวนเงิน ๑๐๐,๐๐๐ กหาปณะ เพื่อเป็นค่าก่อสร้างสถูป เจดีย์ และเสาศิลาจารึกในพุทธศตวรรษที่ ๑๔-๑๕ ราชวงศ์สกลจุรี ได้เข้ามาสร้างวัดขึ้นในบริเวณสาลวโนทยานเป็นจำนวนมาก จนกระทั่งพระพุทธศาสนาได้หมดจากประเทศอินเดียไปในปี พ.ศ. ๑๗๔๓ ทำให้สถานะของพระพุทธศาสนาในกุสินาราถูกปล่อยทิ้งร้างและกลายเป็นป่ารกทึบ กระทั่งในปี พ.ศ. ๒๔๓๓ พระภิกษุมหาวีระ สวามี และท่านเทวจันทรมณี ชาวศรีลังกา เดินทางมายังกุสินารา และเริ่มอุทิศตัวในการฟื้นฟูพุทธสถานแห่งนี้ ร่วมกับเนซารี ชาวพุทธพม่า จนได้สร้างวัดขึ้นใหม่ชื่อว่า “มหาปรินิวานะ ธรรมะศาลา” ปัจจุบัน กุสินารา มีอนุสรณ์สถานที่สำคัญได้แก่ (๑) มหาปรินิพพานสถูป ตั้งอยู่ด้านหลังของมหาปรินิพพานวิหาร เป็นสถูปแบบทรงโอคว่ำขนาดใหญ่ ซึ่งพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้างและได้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ เชื่อกันว่าเป็นที่บรรทมครั้งสุดท้ายและเป็นสถานที่พระพุทธองค์ปรินิพพาน ณ ใต้ต้นสาละคู่ ภายหลังได้สร้างสถูปครอบไว้ดังจะเห็นได้ในปัจจุบัน สถูปมีความสูง ๖.๑๐ เมตรเหนือระดับพื้นดิน ด้านบนของสถูปเป็นฉัตร ๓ ชั้น (๒) มหาปรินิพพานวิหาร หรือวิหารพุทธไสยาสน์ ตั้งอยู่ด้านหน้าบนฐานเดียวกันกับมหาปรินิพพานสถูป มีบันไดอิฐสูงขึ้นไปบนเนิน ภายในประดิษฐาน “พระพุทธรูปปางปรินิพพาน” อยู่บนพระแท่นทำด้วยหินทรายแดงหรือเรียกว่า จุณศิลา องค์พระพุทธรูปยาว ๒๓ ฟุต ๙ นิ้ว (ประมาณ ๗ เมตร) กว้าง ๕ ฟุต ๖ นิ้ว สูง ๒ ฟุต ๑ นิ้ว ศิลปะมถุรา มีอายุมากกว่า ๑,๕๐๐ ปี ที่พระแท่นมีรูปสลักของสุภัททปริพาชกกำลังเข้าไปขอบวช และมีรูปสลักพระอนุรุทธะและพระอานนท์อยู่ด้วย พระพุทธรูปองค์นี้เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธองค์ที่กำลังเสด็จดับขันธปรินิพพาน ประทับนอนบรรทมตะแคงขวา โดยหันพระพักตร์ไปทางทิศตะวันตก และมีซากศาสนสถานโบราณโดยรอบมากมาย ในจารึกระบุผู้จัดสร้างพระพุทธรูปองค์นี้ คือ หริพละสวามี นายช่างผู้แกะสลักชื่อ ธรรมทินนา เป็นชาวเมืองมถุรา ในปัจจุบันพระพุทธรูปองค์นี้ถือได้ว่าเป็นจุดหมายสำคัญที่ชาวพุทธจะมาสักการะ เพราะเป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะอันพิเศษคือเหมือนคนนอนหลับธรรมดา แสดงให้เห็นว่าพระพุทธองค์ได้เสด็จดับขันธปรินิพพานจากไปอย่างผู้หมดกังวลในโลกทั้งปวงหลวงจีนถังซัมจั๋ง (หลวงจีนเฮียงจัง, Xuanzang) ผู้เดินทางมาถึงสถานที่พุทธปรินิพพาน (พ.ศ. ๑๑๖๓-๑๑๘๗) ได้พรรณนาไว้ตอนหนึ่งว่า “กุสินาราเมืองหลวงของมัลลกษัตริย์ อยู่ในสภาพซากปรักหักพัง มองเห็นเมืองและหมู่บ้านเป็นสถานที่ร้าง จะมีคนอยู่อาศัยภายในกำแพงเมืองเก่าเพียงเล็กน้อย”“บริเวณด้านทิศตะวันตกของแม่น้ำหิรัญวดีเป็นอุทยานสาลวัน มีไม้สาละขึ้นเป็นหมู่ใหญ่ ลักษณะของไม้สาละเปลือกเป็นสีขาวบ้างสีเขียวบ้าง ใบสาละสะอาดเป็นเงา ไม่ขรุขระ ในป่ามีไม้สาละใหญ่ ๔ ต้น บริเวณนี้มีวิหารใหญ่ก่ออิฐปูนหลังหนึ่ง ภายในวิหารมีพระพุทธรูปแบบสีหไสยาสน์ คือในลักษณะประทับนิพพาน หันพระเศียรไปทางทิศเหนือ มีลักษณะเหมือนกำลังบรรทมหลับ ข้างๆ วิหารใหญ่มีสถูปใหญ่อีกแห่งหนึ่งซึ่งจารึกว่าพระเจ้าอโศกมหาราชเป็นผู้สร้าง แม้ลักษณะจะทรุดโทรมหักพังไปเป็นอันมากแล้ว แต่ก็ยังมีความสูงเหลืออยู่ถึง ๒๐๐ ฟุต ข้างหน้าพระสถูปมีหลักศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกว่า ที่นี้เป็นที่เสด็จดับขันธปรินิพพานของพระตถาคต”(๓) มกุฏพันธนเจดีย์ ตั้งอยู่ห่างจาก มหาปรินิพพานสถูป ไปทางทิศตะวันออก ๑ กิโลเมตร คนท้องถิ่นเรียกว่า “รามภาร์-กา-ดีลา” หรือ รัมภาร์สถูป เป็นสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระของพระพุทธเจ้า เดิมทีเป็นเชิงตะกอนไม้จันทร์หอม หลังจากที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระแล้วก็ได้สร้างพระสถูปครอบลง ต่อมาก็ได้ถูกรุกรานทำลายเหลือแต่ซากปรักหักพัง ภายหลังได้ถูกขุดค้นพบเป็นซากกองอิฐพระสถูปขนาดใหญ่ดังที่เห็นในปัจจุบัน พระสถูปนี้วัดโดยรอบฐานได้ ๔๖.๑๔ เมตร และขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓๗.๑๘ เมตร ทั้งนี้ ตามหลักฐานก็เป็นที่ชัดเจนว่านั่นคือสถานที่ถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระหรือมกุฏพันธนเจดีย์ตามที่ชาวพุทธเรียกชื่อกัน ปัจจุบันรัฐบาลอินเดียได้เข้ามาบูรณะซ่อมแซมไว้อย่างดีปัจจุบันชาวพุทธทั่วโลกได้มาก่อสร้างวัดไว้มากมาย โดยมีวัดของไทยด้วย ชื่อ วัดไทยกุสินาราเฉลิมราชย์ ซึ่งเริ่มก่อสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ มีเนื้อที่ประมาณ ๑๔ ไร่ (๖ เอเคอร์) ตั้งอยู่บริเวณกุสินารา ห่างจากสาลวโนทยานไปประมาณ ๕๐๐ เมตร ปัจจุบันมี พระเทพโพธิวิเทศ (วีรยุทธ์ วีรยุทฺโธ) เป็นประธานสงฆ์

วันพุธที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

เจ่าของ


        อัตตา หิ  อัตตโน นาโถ  แปลว่า เจ้าของนั่นแหละ เป็นที่พึ่งของเจ้าของเพิ่นว่าเด พระพุทธสอนไว่ เฮาเกิดใหม่ใหญ่ลุน ฟังแล้วเอาไปเฮ็ดนำส่า  แนวมันดี พ่อแม่กะเลี้ยงเฮาคือนกนั่นล่ะครับ  พอเฮาสามารถหาแนวกินได่ รักษาชิวิตเจ้าของได่ กะปล่อยให้เฮาหัดบินหัดหาแนวกิน ขั้นได่กะปล่อยให่บินเอง หาแนวกินเอง ประครองชีวิตลูกด้วยสอนดีๆให้ ตลอด2-3 ปีหัดย่างมีแม่เป็นเสาหลัก ประครองชีวิตด้วยน้ำตาแล้วจิตใจ ล้มแล้วลุกเดินต่อไป คิดอยู่เสมอชีวิตเราต้องเดินไปข้างหน้า ยังมีคนที่เป็นเยอะกว่าผมเยอะเหมือนกัน ความรัก ต้องพังลงไป อนาคตอยู่ที่ตนเรากำเนิด ภาวนาให้ใจเจ็บจงเข้มแข็ง เดินใด้แล้วไปตามใจเจ้าปรารถณา แค่ผู้หญิงคนเดี่ยวแค่วันนี้หัวใจสลาย เดินต่อไป หาความฝันที่ตั้งไว้

ฮักเขาหลาย


                หวัดดีครับ..ภาพบ่งบอกว่าเสียใจมากกับความรักที่ไม่สมหวัง เหมือนใครบ้างคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ ผ่านมาแล้วเจ็บ เกือบตายน้ำตาเป็นเลือด เพราะว่าคำว่ารักที่ได้ยินจากปากเธอ มันทำให้ใจของผู้ชายคนนี้อ่อน สรุปตอนท้ายก็ว่า ลมปากของคน ลีลากรีดกาย ของหญิง น่ากลัวที่สุด เป็นคนแบบไม่ลองไม่รู้  ตอนนี้รู้จำด้วย  ชอบเพลงนี้  มันบอกทุกอย่างในชีวิตของผม ครับ ฟังครั้งแรกมันเข้าในใจเลย คิดว่านี้มันเราชัดๆอยากจะพูดนะ แต่พูดไม่ออก พอได้ฟังเพลงนี้ ใช่เลยมันโดน 
                    
                       ยืนซึมเศร้ากลางฝนที่มัน
                       พรั่งพรมลงใส่หน้าอ้าย
ปล่อยน้ำตาให้มันรินไหล บ่อายฟ้าดิน
สุญสิ้นแล้วความฮักนาทีสุดท้าย ด้วยคำว่าเลิกกัน
  ปานหัวใจของอ้ายถูกขัง
                   ด้วยน้ำมือเจ้ากับเขา

* ฮักสองเฮา.. ถึงตอนอวสาน
         เก็บกู้บ่ทัน ได้รางวัลตอบแทนเป็นน้ำตา

** ระเบิดเวลา ฮ้า... ฮาา..
เริ่มเดินมาตั้งแต่น้องพบเขา
เจ้าถ่ายโอนในความเป็นเรา
ยกให้เขา ทีละน้อย
อ้ายวิ่งไขว่คว้าตามใจเจ้าคืน
น้องกะบืนหนีใส่เกียร์ถอย
ได้แต่มองฮักที่หลุดลอย รอถึงวันเลิกรา

หันหลังทั้งน้ำตา
กลั้นใจบอกว่า ให้เจ้าโชคดี
ให้สมใจกับคนใหม่ที่มี ที่น้องตั้งใจเลือกเขา
อ้ายคนนี้ได้ตายไปแล้ว
บ่ต้องห่วงเด้อ บ่ขวางทางเจ้า
ถูกระเบิดที่น้องกับเขา วางลงใส่ใจกัน

ศีลข้อ 2

ศีลข้อ 2 สำศัญ หมองใด่
สวัสดีครับ..ท่าน คนโกหก ไม่มีใครอยากคบนะครับ พวกเด็กเลี้ยงแกะ คนใจดำหน้าตาดี เลยศีลข้อ 2 ไปแล้วครับ นี้คือประสบการณ์จริง เข้ากับบทเพลงนี้ครับ บทเริ่มต้นคือคำหวานๆปนคำโกหก สุดท้าย** แต่นี้ไป สิจังใด๋บ่เชื่อคำ ข้อยสิจำ และขอจำจนมื้อตาย ข่อยเข็ดแล้ว พอกันทีบ่ว่าไผ เกิดชาติใด๋ ขอให้ไกลคนขี้ตั๋ว ไม่มีใครคบครับ.........
เจ้าลืมแล้วบ่ ก่อนเคยสัญญา
เจ้าบอกข้อยว่า สิฮักแต่ข้อยผู้เดียว
ผู้ใด๋ผู้อื่น เจ้านั้นสิบ่แลเหลียว
สิฮักแต่ข้อยผู้เดียว เหมิดทุกห้องหัวใจ
เมื่อฮักสองเฮา มีเขาเข้ามา
เริ่มมีปัญหา สองเฮาบ่เข้าใจกัน
ไปฮับไปส่ง เจ้าบ่เห็นถึงความสำคัญ
บ่คึดบ่ฝัน ว่าเจ้านั้นมีเขาคู่เคียง
* บ่เป็นหยัง ข้อยบ่ซังแมนเจ้าตั๋ว
ขอบคุณหลาย ยังบ่ตาย หายใจอยู่
ข้อยคนเซ่อ เจ็บหลายเด้อบ่เคยจือ
ย้อนใจซื่อ บ่แมนดื้อ ย้อนฮักหลาย
** แต่นี้ไป สิจังใด๋บ่เชื่อคำ
ข้อยสิจำ และขอจำจนมื้อตาย
ข่อยเข็ดแล้ว พอกันทีบ่ว่าไผ
เกิดชาติใด๋ ขอให้ไกลคนขี้ตั๋ว
***********************************************************

เด็ก





 เด็กเอ๋ยเด็กน้อย
                                          นัยน์ตารอยใสซื่อนั้นสื่อสุข
                                     โลกทั้งโลกโศกร้างเลือนรางทุกข์
                                          รอผู้ใหญ่ปั้นปลุกปลูกสิ่งดี
                                     จักเติมวาดพาดฝันบรรจงสร้าง
                                             ผู้ใหญ่คอยปูทางวางวิถี
                                          ให้แก่เด็กด้วยรักที่มากมี
                                          มาคอยชี้คอยทำแนะนำคุณ

                     สวัสดีครับ.. ผมป็อกคนน่ารูปไข่ รายงานตัวครับ  ครับทุกคนเกิดเคยผ่านชีวิตตอนเด็กๆ มามีความสุขบ้างทุกข์บ้างเป็นธรรมดาของสัตว์โลก(น่ารัก) ขอขอบคุณที่ยังมีผู้เฒ่าผู้แก่คอยให้คำแนะคำ อันเป็นประโยชน์อันมีค่า อันกระผมจะนำมา ปฏิบัติตามคำสอนครับ  ตอนเป็นเด็กถูกทำโทษบ่อยมาก จนมีคำถามว่าทำไม เราผิดอะไร จากใจหนูน้อยผู้ผ่านโลกนี้น้อยมาก ชั่วโมงบินต่ำ พอโดนลงโทษหน่อย ก็ร้องให้ คิดไปต่างๆนาๆ ผ่านมาแล้ว 20 ปี เด็กน้อยที่โดนลงโทษบ่อยๆร้องให้บ่อยๆได้ทำงานดีๆ คิดเสมอว่า ที่ได้ทำงานถึงจุดนี้เพราะไม่เรียว เพราะคำด่า อันไม่ใช่ตีหือด่าด้วยอารมณ์ ล้วนแล้วแต่เป็นคำสั่งสอน ที่ท่านสอนเรา ให้รู้ให็จำว่า  อันนี้ดี อันนี้ไม่ดี  สุดท้ายแล้วมีความต้องการคืออยากไปกราบท่านงามๆ 3 ครั้ง แล้วพูดว่า ขอบคุณครับที่ยังช่วยเหลือ ยังจำ เด็กที่อ่อนต่อโลกนี้ครับ. ขอบคุณครับ

การใส่บาตร


            
                           
                          การสั่งสมบุญ  นำมาชึ่งความสุข  แมนครับอีหลี  ผมผู้มีเวลาน้อยในการทำบุญ ก็ถือเอาการใส่บาตร ทำเช้าตื่นขึ้นมา อากาศดีสดใส ใส่บาตรมันก็ดีต่อจิตใจ  ถือว่าเป็นการทำบุญต่ออายุตัวเอง ถือว่าทำบุญให้ผู้ล่วงลับไปแล้ว มีบิดา มารดา ญาติพี่น้อง เป็นต้น มีความสุขกาย สบายใจมากๆครับ วิธีการทำบุญใส่บาตรมีขั้นตอนง่ายๆและได้บุญมากครับ
             1.ก่อนใส่
             2. ตอนใส่
             3. หลังใส่

.......ต้องทำใจบุญให้เป็นทาน มีจิตใจที่เป็นบุญกุศล

                           ๑. เป็นการสั่งสมบุญในแต่ละวัน เพราะการสั่งสมเป็นเหตุนำความสุขมาให้

                           ๒. เป็นการเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการทำบุญทำให้จิตใจแจ่มใส เพื่อให้มีกำลังใจที่เข้มแข็ง เพราะผู้ที่ไม่มีบุญเกื้อหนุนอยู่ในใจ ย่อมพ่ายแพ้ต่อบาปได้ง่าย

                          ๓. เป็นการทำที่พึ่งคือบุญให้แก่ตนเองในอนาคตถ

                          ๔. เป็นการช่วยรักษาพุทธประเพณี เพราะพระพุทธเจ้าทั้งหลายในอดีต และที่จะมาตรัสรู้ในอนาคต ล้วนแต่ดำรงพระชนม์ชีพด้วยอาหารบิณฑบาต

                          ๕. เป็นการช่วยสืบทอดพระพุทธศาสนา เพราะพระสงฆ์เป็นผู้ศึกษา ปฏิบัติพระธรรมวินัย แล้วนำมาสั่งสอนให้ประชาชนได้รับรสแห่งพระธรรมด้วย อีกทั้งยังดำรงตนเป็นตัวอย่างด้านความประพฤติดีงามของสังคม ฉะนั้น ชาวพุทธควรทำบุญตักบาตรเป็นประจำทุกวัน เพื่อเป็นการสั่งสมบุญให้แก่ตนเองที่จะต้องนำไป ดุจเสบียงเดินทาง ในการท่องเที่ยวเวียนเกิดและเวียนตายอยู่ในวัฏฏสงสาร อันไม่ปรากฏเบื้องต้นและที่สุด และบุญที่สั่งสมไว้นี้ จะช่วยเกื้อกูลให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้

วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

นางฟ้าในใจ


 

          พระองค์แรก  ครูคนแรก คนรักคนแรก นางฟ้าคนแรก  หมอคนแรก เธอไม่เคยทิ้งเราไปไหน แม้เราจะทุกข์จะสุขจะดิบเธอไม่เคยหนีไปไหน เธอคนนั้นคือแม่ (คุณแม่ราตรี ภูมิ่งคำ) แม่ผมเองครับ
ครอบครัวเราไม่ค่อยมีนะครับ  ไม่อยากพูดเลยว่าจน มีอาชีพทำไร่ทำนา เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป พ่อมีอาชีพเลี้ยงวัว คือ เลี้ยงวัวเป็นงานอดิเรกทั่วไปของท่าน ครอบครัวผมมีความสุขมากครับ ผมมีคำกลอนของแม่มาให้ผู้อ่าน ได้อ่านนะครับ



     ได้อ่านแล้วคิดหนักเหมือนกันว่า ตอนนี้เราทำอะไรให้แม่บ้าง คิคๆๆๆๆ คิดไปคิดมาก็คิดไม่ออกอยู่ดี อ้าว..วันนี้ล่ะนับ 1 ได้เลยยังไม่สายที่เราจะทำเพื่อแม่ การเป็นคนดีของสังคม เลิกเหล้า เลิกยา เลิกเมีย (อันนี้ไม่ได้ครับ ของสูง) สรุปก็เป็นลูกที่ดีของแม่ แม่จะได้ดีใจ อยู่กับเราไปนานๆๆ รักเราไม่มีวันหมด

วันจันทร์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

คิดถึง


        สวัสดีครับ..ท่านผู้อ่านและยังไม่อ่านครับ คิดถึงวันเก่าๆก็เลยท้อง อุ้ย.พิมพ์ผิดครับขอโทษด้วย ความรู้ไม่มี แต่ความมั่นใจสูง  ผ่านมาแล้ว10 ปีกว่าชีวิตที่ไม่เหมือนเดิม  ต้องเจอกับคำว่า คนบ้า ของโลโช เจอกับคำว่า พิการ ครับ ผมพิการครับ จากอุบัติเหตุรถชน ผมไม่ขอพูดถึง เพียงอยากพูดว่า อนาคตเราจะไปไงมาไง ง่ายๆ ปัจจุบันกำลังทำงานอยู่ที่ กรมทางหลวงชนบท 16 ได้ 2 เดือน ก็งานคนพิการครับ  อันนั้นก็สำศัญ อย่าลืมพระพุทธองค์ตรัสไว้ ชีวิตของเราๆท่านๆก็เหมือน ต้องตกอยุ่ใน 3 อย่างแน่นอน หนีไม่ได้

    กฎสำคัญแห่งธรรมชาติ ซึ่งมีลักษณะ ๓ อย่าง คือ
                                                 
                                             ๑. อนิจจัง ความไม่เที่ยง

                                             ๒. ทุกขัง ความทนอยู่ไม่ได้
                                             ๓. อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน
                กฎธรรมชาตินี้ เป็น ธรรมธาตุ คือภาวะที่ทรงตัวอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมฐิติ คือภาวะที่ตั้งอยู่ หรือยืนตัวเป็นหลักแน่นอนอยู่โดยธรรมดา เป็น ธรรมนิยาม คือ กฎธรรมชาติ หรือกำหนดแห่งธรรมดาไม่เกี่ยวกับผู้สร้างผู้บันดาล หรือการเกิดขึ้นของศาสนาหรือศาสดาใด ๆ กฎธรรมชาตินั้แสดงฐานะของศาสดาในความหมายของพุทธธรรมด้วยว่าเป็นผู้ค้นพบกฎเหล่านั้แล้วนำมาเปิดเผยชี้แจงแก่ชาวโลกไตรลักษณ์นั้น มีพุทธพจน์แสดงหลักไว้ในรูปของกฎธรรมชาติว่าดังนี้"ตถาคต ทั้งหลายจะอุบัติหรือไม่ก็ตาม ธาตุ นั้นก็ยังคงมีอยู่ เป็นธรรมฐิติ เป็นธรรมนิยามว่า
            ๑. สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง

            ๒. สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์
            ๓. ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา
      สรุปก็คือว่า เราๆท่านๆจะรวยและจนสุดท้ายก็เหม็นกันหมด และเราจะเอาไปได้ 2 อย่าง คือ บาป กับ บุญ พะนะ เท่านั้นนะครับ...................................

คำว่า ตลอดไป ไม่มีจริง


                   มีเพียงแค่เท่านี
              ไม่มีมากมายดังใครเขามี
               มีให้เพียงนิดน้อย แต่ให้ไปเกินร้อย
                  ไม่มีเงินตรา มงกุฏชฎาแม่เนื้อกลอย
              ไม่มีรถเก๋ง แอร์เย็นอย่างใครเขา
                มีไมตี้เอ็กซ์ท่อดังและคันเก่า
                  พี่ไร้หน้าตาในสังคมไฮโซ
                   และจะเจอพี่ได้ ก็แค่วงไฮโล


อยู่กับฉันได้ไหม ให้แก่เฒ่าเป็นตายาย
ในบั้นปลายสุดท้ายของดวงชีวัน
อยู่เคียงคู่กันแบบนี้ ให้ร่วงโรยเป็นธุลี
กลับสู่ธรณี ฝังร่างนี้ไปพร้อมกัน



ฝังร่างไปพร้อมกัน ฝังร่างไปพร้อมกัน
มีเธออยู่กับฉัน สู้งานในทุกวัน



ถึงไร้ยศถาศักดินาใด ถึงชนชั้นล่างแค่ประชาไทย
คนเรารักกันอยู่ที่ใจ เงินทองหาได้มันก็สูญไป
เราจะรักกันจนแก่เฒ่า ไม่ใช่รักกันไว้แค่เด้า
บางคู่รักกันไว้แค่เอา บางคนรักกันหวังอั่งเปา



บางทีรักกันเพราะว่ารอสวย บางคู่รักกันเพราะว่าตี๋หมวย
ผู้หญิงบางคนรักผัวรวย กระเทยรักผู้ชายเพราะหัว



ขอบคุณเธอที่รัก ถึงแม้ไม่มีอะไร
ถึงมีแต่ตัวกับหัวใจ จะอยู่ไปจนวันตาย



อยู่กับฉันได้ไหม ให้แก่เฒ่าเป็นตายาย
ในบั้นปลายสุดท้ายของดวงชีวัน
อยู่เคียงคู่กันแบบนี้ ให้ร่วงโรยเป็นธุลี
กลับสู่ธรณี ฝังร่างนี้ไปพร้อมกัน



ฝังร่างไปพร้อมกัน ฝังร่างไปพร้อมกัน
มีเธออยู่กับฉัน สู้งานในทุกวัน



เริ่มจากเราสอง มันเริ่มจากคนสองคน
มีกามเทพสองตน ละแผลงศรอยู่สองคม
ชะตาฟ้าลิขิตหรือจะสู้วะนะ คนเราอยู่กะฉัน
และร่วมฝันละให้ชนะความจน
อดทนอีกนิด รับพินิจไปติดจ๋าน
ปู่จ๋านคนนี้ไม่ใช่ข้าราชการ
ถึงพี่จะจน แต่พี่ก็ทนไม่เคยอาย
จะรักแม่ยอดหญิง ไม่ทอดทิ้งจนวันตาย



อยู่กับฉันได้ไหม ให้แก่เฒ่าเป็นตายาย
ในบั้นปลายสุดท้ายของดวงชีวัน
อยู่เคียงคู่กันแบบนี้ ให้ร่วงโรยเป็นธุลี
กลับสู่ธรณี ฝังร่างนี้ไปพร้อมกัน



ฝังร่างไปพร้อมกัน ฝังร่างไปพร้อมกัน
ฝังร่างไปพร้อมกัน ฝังร่างไปพร้อมกัน

                                                          สุดท้ายก็ไม่เหลืออะไรเลย

วัดสอนอะไรบ้าง


ไปวัด แต่งตัวให้เรียบร้อย ทำใจให้สงบ คิดเสมอว่า เรามาสร้างบุญบารมี ให้กับตัวเอง กับญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว ...ที่นีเรามาดูกันว่าบุญจะสำเร็จด้วยอะไรน้า.....เรามาอ่านกัน
      ทาน บุญจะสำเร็จด้วยการให้ทาน มีอะไรที่จะช่วยคนอื่นได้ เราก็ทานไป ไม่ใช่แค่พระที่สามารถทำบุญได้ คนแก่ คนพิการ เด็กเขาไม่มีโอกาส เราก็สามารถทำบุญสร้างบารมีได้
     ศีล  บุญจะสำเร็จด้วยการรักษาศีล รักษาศีลจะทำให้ห้จิตใจเราบริสุทธิ์ งามจากด้านในสู่ภายนอก อันแน่ก็มีด้วย เราก็รักษาศีล 5  ให้ได้ก่อน อะไรๆก็อยู่ที่ตัวเราหมดล่ะว่าจะทำหรือไม่ ถ้าทำต้องสุดๆกับมัน แล้วท่านจะมีความสุขกับการกระทำนั้นๆแต่ต้องเป็นความดีด้วยนะครับ
                                                       ภาวนา  การเจริญภาวนานั้น เป็นการสร้างบุญบารมีที่สูงที่สุด และยิ่งใหญ่ที่สุดในพระพุทธศาสนา จัดว่าเป็นแก่นแท้ และสูงกว่าฝ่ายศีลมากนัก การเจริญภาวนานั้น มี ๒ อย่าง คือ (๑) สมถภาวนา (การทำสมาธิ) และ (๒) วิปัสสนาภาวนา (การเจริญปัญญา)

วัน เดือน ปี

*********************************************
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++


           28  เมษา  2526  เป็นวันที่สำศัญอีกวันหนึ่ง ที่ผู้หญิงคนหนึ่งมีทั้งน้ำตาและรอยยิ้ม และความเจ็บปวดผสมผสานกับเสียงร้องให้ของเด็ก 2 คน ที่เต็มไปด้วยเลือดและน้ำค่ำ นั่นไม่สำคัญเท่ากับเด็ก 2 คน คนแรกมีชื่อเสือปึ้กรูปร่างหน้าตา เหมือนโกธรใครมาเป็นชาติ คนที่ 2
รูปร่างหน้าตา หน้ารูปไข่ ชื่อเสือป๊อก  เสือปึ้กแย่งทุกอย่าง แม้ตั้งแต่นมแม่ คนล่ะข้างมันยังแย่งไปเลย  ตอนนี้โตแล้วแย่งไม่ได้แล้ว เดือนเมษายน เป็นเดือนที่ร้อนที่สุด แม่เราคงทรมานเนาะสมัยนั้น ไม่มีพัดลม ไม่มีแอร์ มีแต่วี ครอบครัวผม มีสมาชิกอยู่ 8 คน ทุกคนมีลูกมีเต้าหมดแล้ว  ส่วนผมมี หลานผู้หญิง 5 คน ชาย 2 คน เหลือแต่ผมยังไม่มีคนมาเอาใจเลย .บ้านผมนะมีแฝด 5 คู่ เยอะมากครับ เอ่ผมลืมอะไรน่ะ*** หัวข้อยังไม่เข้าเลยน่ะครับแค่โม้เฉยๆ
 อ้าว**เรามาเข้าหัวข้อกันดีกว่า ว่าอะไรคืออะไรความเชื่อ อะไรคือความศรัธทา มาคุยกันเลยดีกว่ามั้งงงมานานแล้ว  ความเชื่อ คือ การยอมรับว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นความจริงหรือเป็นสิ่งที่เราไว้ใจ ความจริงหรือความไว้วางใจที่เป็นรูปของความเชื่อนั้น ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นความจริงที่ตรงตามหลักเหตุผลหรือหลักวิทยาศาสตร์ใดๆ คนที่เชื่อในฤกษ์ยามก็จะถือว่า วันเวลาการโคจรของดวงดาวจะก่อให้เกิดผลต่อตัวมนุษย์ คนที่เชื่อเครื่องรางของขลังก็จะมีความยึดมั่นว่า เครื่องรางของขลังให้คุณให้โทษแก่ตนได้จริง ตัวอย่างของความเชื่อ ได้แก่ ไสยศาสตร์ โหราศาสตร์ โชคลาง ของขลัง ผีสาง นางไม้ ความเชื่ออำนาจลึกลับ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ เหล่านี้เป็นต้น
***********************************
       ศรัทธา ตามความหมายที่ใช้ในพจนานุกรม หมายถึง “ความเชื่อถือ ความเลื่อมใส” คำ ศรัทธา นี้ คณะกรรมการจัดทำพจนานุกรมศัพท์ศาสนาสากล แห่งราชบัณฑิตยสถาน ได้บัญญัติมาจากคำ faith และอธิบายว่า หมายถึง “ความเชื่อ ความเลื่อมใส โดยทั่ว ๆ ไปแบ่งได้เป็น ๓ ประเภท คือ

๑. ศรัทธาโดยไม่ต้องใช้ปัญญาแสวงหาความจริง
๒. ศรัทธาโดยใช้ปัญญาแสวงหาความจริงไปพร้อม ๆ กัน
๓. ศรัทธาต่อเมื่อมีประสบการณ์ด้วยตนเองจริง ๆ แล้ว”


ในพระพุทธศาสนาแบ่งศรัทธาออกเป็น ๔ อย่าง คือ

๑. กัมมสัทธา เชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อว่ากรรมมีอยู่จริง คือ เชื่อว่ากรรมดีกรรมชั่วเป็นเหตุปัจจัยที่จะก่อให้เกิดผลดีผลร้ายสืบเนื่องต่อไป

๒. วิปากสัทธา เชื่อผลของกรรม เชื่อว่าผลของกรรมมีจริง คือ เชื่อว่ากรรมที่ทำแล้วจะต้องมีผลติดตามมา

๓. กัมมัสสกตาสัทธา เชื่อความที่สัตว์มีกรรมเป็นของของตน คือ เชื่อว่าแต่ละคนจะต้องรับผิดชอบเสวยผลของกรรมนั้น

๔. ตถาคตโพธิสัทธา เชื่อความตรัสรู้ของพระพุทธเจ้ามั่นใจในองค์พระตถาคตว่าทรงเป็นพระสัมมาสัมพุทธะ คือทรงเป็นผู้ตรัสรู้สัจธรรมด้วยพระองค์เองโดยชอบ

วันอาทิตย์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

จุดเปลี่ยน

*********************************************************************************
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

     
           จุดเปลี่ยน จากเด็กน้อยชีวิตบ้านๆคนหนึ่ง ต้องเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังมือได้ ต้องอาศัยสมองแม่ล้วนๆ  ผมเป็นคนๆหนึ่งที่โตขีึ้นมาจากท้องแม่ ธรรมดาต้องมีผมคนเดี่ยว  แต่..อุตะๆๆ พุทโธ ธัมโม สังโฆ มันมีคนๆหนึ่งออกมาด้วย  หน้าตาเหมือนเราเลย อะไรกันแม่*ช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อย พอไปมาแม่หรือชาวบ้านเรียกว่า แฝด เราต้องเป็นน้องเขาอีก อะไรฟะ  ก็ดำเนินชีวิตเหมือนเด็กทั่วๆไป เลี้ยงวัว เลี้ยงควาย (ลูกพี่เรา) ทำนา ทำไร่
หน้าจะเอาดีจากการทำไร่ไถ่นา แต่ชีวิตก็มาเปลี่ยนอีก จากการหนีพ่อแม่ไปบวช  ก็เห็นเพื่อนไปบวชกัน ก็คงจะสนุกก็เลยไปบวช แม่ตามหาทั้งคืน ตอนเช้ามาวัดก็เห็นลูก2 คนบวชแล้วแม่เห็นอย่างนั้น ร้องออกมาว่า โอ้มายก๊อด ก็สาธุด้วยเอาที่สบายใจเลยล่ะกัน  หลังบวชมาได้1วัน ต้องอาศัญผ้าเหลือง ก็ต้องเดินทางมากรุงเทพ โดยการนำมาของหลวงพี่พระมหาประพันศักดิ์  ฉายาจำไม่ได้ครับ หลังจากเดินไปกรุงเทพก็ต้องเดินทางต่อไปนครนายก บุ้งเข้ อยู่นั้น 15 วัน ก็เดินทางเข้ากรุงเทพ ไปวัดป่าคุณแม่จันทร์ ที่นั้นก็ใช้ชีวิตเหมือนคนอีสานทั่วๆไป เพราะอยูู่ 150 รูปมีแต่คนอีสาน คนภาคกลางน้อยมาก เป็นวัดเรียนหนังสือ สามเณรที่นั่นเรียนเก่งมากครับ  เป็นวัดที่น่าอยู่มาก เย็นสบาย ผมเรียนเช้า เที่ยง เย็น   เช้าเรียนนักธรรม  เทียงภาษาบาลี  เย็นเรียน ก.ศ.น. ผมมีอะไรก็เรียนไม่เลือก แต่บางครั้งออกอาการเป่เหมือนกัน การปฏิบัติ ก็มีพระอาจายร์กิตติ กิตตินันโท เป็นพระสายบุญรูปหนึ่ง ที่เป็นตัวยืนที่เข็มแรงรูปหนึ่ง ควรน้อมมาเป็นตัวอย่างที่สุด จุดเปลี่ยนอีกครั้ง ก็คือผมเรียน ม.ปลาย แล้ว โตแล้ว(แต่สมองยังเด็ก)ต้องเดินทางจากวัดที่ผมอยู่แล้วสบายอกสบายใจ อย่างวัดคุณแม่จันทร์ ผมต้องย้ายสโมสรอีกแล้ว ต้องไปเรียนต่อระดับปริญญาตรี ใจหนึ่งก็อยากไปเรียนต่อ อีกใจหนึ่งไม่อยากไปจากวัดที่ผมอยู่9 ปี ไม่อยากไปเลย.

โพสต์แนะนำ

เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป

                              สวัสดีครับ++ใกล้ถึงวันสำศัญอีกวันหนึ่ง ของเราชาวพุทธที่ควรรู้ประวัติความเป็นมา ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 7  ตรงกับ...